กระบี่วันนี้ รายงานข่าวล่าสุดประจำชั่วโมง

รายงานข่าวประจำวันที่ 6 พฤษภาคม 2024 : 5:42 PM by VWANDER Services

หมายเหตุ – นายนคร พจนวรพงษ์ อดีตผู้พิพากษาอาวุโส ศาลยุติธรรม และกรรมการเนติบัณฑิตยสภา ปี 2559-2563 เกษียณอายุราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาอาวุโสที่ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.สมุทรสาคร ให้สัมภาษณ์พิเศษ มติชนž ถึงการตัดสินใจลงสมัครคัดเลือกเป็นสมาชิกสภา (ส.ว.) ชุดใหม่ 200 คน

เคยเรียนและประกอบอาชีพด้านกฎหมาย เป็นนักกฎหมาย สอนวิชาว่าความกับนักศึกษาที่เนติบัณฑิตยสภามา 2-3 ปี ซึ่งเนติบัณฑิตยสภาเป็นสถาบันกฎหมายหลักของประเทศ เป็นที่ผลิต ส่งเสริม และควบคุมผู้ที่จะมาเป็นผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ เรียกได้ว่าเป็นสถาบันสำคัญ ผมก็ได้รับเลือกเข้าไปเป็นคณะกรรมการ โดยได้มีการประชุม ศึกษา และสอนนักศึกษาที่นั่นรวมแล้วประมาณ 4 ปี และการที่เป็นผู้พิพากษามากว่า 30 ปี ถือเป็นอาชีพที่ให้ความยุติธรรมกับผู้มีอัตถะคดีทั้งทางแพ่งและอาญาแก่ประชาชนทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียมกัน พูดได้ว่าอยู่ในอำนาจตุลาการมองดูอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจฝ่ายบริหารที่มาจากปฏิวัติหรือรัฐประหาร และเห็นว่าที่ผ่านมารัฐสภาไทยหรือรัฐบาลไทยถูกแต่งตั้งจากผู้ยึดอำนาจมากกว่าที่จะมีการเลือกตั้งโดยประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น ส.ว. ชุดที่กำลังจะหมดอำนาจ ซึ่งถือเป็นมรดกของคณะผู้ยึดอำนาจตลอดมา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่หมดไป

ทุกคนคงทราบดีว่าเราอดทนต่อการยึดอำนาจหรืออำนาจมืดต่อไม่ได้แล้ว คำสั่งของคณะปฏิวัติ รัฐประหารสั่งให้ศาลทำเช่นนั้นทำเช่นนี้ ก้าวก่ายแทรกแซงอำนาจตุลาการอย่างน่าเกลียด น่าละอาย ซึ่งตนอยู่ในอำนาจตุลาการมานาน อะไรถูกอะไรผิดเราก็ชี้ตรงเหตุ ไม่เคยว่อกแว่ก แต่ผู้ยึดอำนาจผู้ปฏิวัติสั่งให้ต้องถูก เรียกได้ว่าอำนาจอธิปไตยคุมอำนาจนิติบัญญัติ และประชาชนก็ทนเห็นมานาน ทั้งนี้ ขณะที่เคยดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2518 ได้มีคณะปฏิวัติรัฐประหารเข้ามาข้องเกี่ยวคือ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ได้ทำการรัฐประหาร
ยึดอำนาจ และแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีบริหารราชการอยู่ประมาณ 1 ปี งานไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการ ก็ได้มีการยึดอำนาจ
ครั้งที่ 2 ทั้งการยึดอำนาจครั้งที่ 1 และ 2 ก็มีประกาศออกมาเกี่ยวกับศาลยุติธรรม ให้ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดทุกศาล เป็นตุลาการศาลทหาร

ในชีวิตตน สมัยเป็นครูก็พยายามส่งเสริมการปกครองโดยให้มีการเลือกตั้งสภานักเรียน ในช่วงนั้น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจอยู่ แต่เราให้เด็กเลือกตั้งสภานักเรียน จนโรงเรียนอื่นส่งครูมาดูงาน ต่อมาได้เรียนกฎหมายไปด้วย เมื่อเรียนกฎหมายจบลาออกจากครูมาเป็นทนายความ จากนั้นเปิดสำนักงานทนายความ ที่แถวหน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ก่อนจะได้ไปเป็นผู้พิพากษาที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ โดยเป็นช่วงที่ พล.ร.อ.สงัดยึดอำนาจ และให้ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดทุกศาล เป็นตุลาการศาลทหาร ตนจึงได้ต่อต้านการยึดอำนาจ

ขณะเดียวกัน ในช่วงหลังที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจ ตนเป็นผู้พิพากษาอาวุโสก็ได้คุยกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าการยึดอำนาจในครั้งนี้ เขาได้ตั้งให้ท่านเป็นประธานกรรมการตุลาการ ท่านจะรับตำแหน่งหรือไม่ เขาตอบตนว่าเขาสมัครแล้วคัดเลือกมาเป็น แต่สำหรับเขาถูกออกคำสั่งบังคับให้เป็น หากไม่เป็นก็จะต้องออกจากผู้พิพากษา แล้วจะต้องทำอย่างไร มันสะท้อนบางอย่างให้เห็นว่าการยึดอำนาจทั้งหลายเขาเข้าไปแทรกแซงอำนาจตุลาการ ตุลาการและผู้พิพากษาไม่ได้เห็นคล้อยไปทั้งหมด แต่ผู้พิพากษาอยู่ในกรอบในระเบียบจึงไม่สามารถแสดงออกอะไรที่ออกนอกหน้า ทั้งนี้ อำนาจของคณะปฏิวัติก็คือทหาร และเป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม หากถามว่าเป็นผู้พิพากษารักษาความยุติธรรมได้แค่ไหน ผู้พิพากษาก็ใช้อำนาจตุลาการตามที่อำนาจนิติบัญญัติออกมา แต่บางครั้งบางช่วงอำนาจนิติบัญญัติก็ออกโดยอำนาจรัฐประหาร เมื่อออกมาเช่นนี้แล้วจะชอบธรรมได้อย่างไร และขณะนี้ก็มีมรดกบาปของคณะรัฐประหารตกค้างอยู่เยอะ จึงทำให้ตัดสินใจลงสมัครเลือก ส.ว.ในครั้งนี้

นอกจากนี้ หลังจากอยู่ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่มา 10 ปี และเป็นหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเชียงใหม่ อีก 3 ปี ก่อนที่ผมจะย้ายมาเป็นผู้พิพากษาศาลแพ่งอยู่ที่ธนบุรี และไปเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกรุงเทพฯ เป็นเวลาอยู่ 6 ปีครึ่ง ซึ่งดูแลยกร่างกฎหมายของกรุงเทพฯ อยู่ตลอดเวลา โดยในช่วงที่อยู่กรุงเทพฯ ก็มีคนนำกระเช้ามามอบให้ตนในช่วงเทศกาลปีใหม่ และมีหลายคนมาร่วมอวยพร เมื่อเห็นกระเช้าตนก็เห็นซองติดอยู่ จึงถามว่านั่นคือซองเงินใช่หรือไม่ จึงให้นำออกและนำกระเช้ามาให้ผม เราแสดงความซื่อสัตย์สุจริต ต่อมาเมื่อผู้อำนวยการเขตต่างๆ ได้ยิน เขาก็มาชมตนว่าใช้ได้ แต่อาจจะไปขัดกับคนอื่นด้วยหรือไม่ เราทำเช่นนั้นเพื่อไม่ให้เสียชื่ออดีตผู้พิพากษา หลังจากเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายกรุงเทพฯ อยู่สักระยะก็ได้โอนย้ายกลับมาเป็นที่ผู้พิ พากษา

อย่างไรก็ตาม หากได้เลือกเข้าไปดำรงตำแหน่ง ส.ว. ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ได้กำหนดหลักการของตัวเองเอาไว้ว่าจะต่อต้านคัดค้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการ และเนื่องจากกติกาที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมา กำหนดให้ผู้สมัครแต่ละคนสามารถพูดได้แค่เรื่องอดีตและปัจจุบันว่าเคยทำอะไรมาบ้าง แต่ในอนาคตจะทำอะไรนั้นไม่สามารถพูดได้จึงขอยังไม่พูดถึงในส่วนนั้น เพราะอาจจะส่อไปในทางที่ผิดกฎหมาย เราจึงต้องระมัดระวัง

สำหรับกติกาที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมา จนทำให้หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันนั้น มองว่าเบื้องต้นไม่ให้สิทธิประชาชนในการเลือกตั้ง ซึ่งผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องไปสมัครใช้สิทธิ และยังมีเรื่องของกติกาที่หยุมหยิมต่างๆ เช่น หาเสียงและแนะนำตัวมากก็ไม่ได้ แม้แต่หากประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้วจะแจกนามบัตรจะผิดหรือไม่ ยังงงๆ อยู่ กติกาเช่นนี้คิดได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นกติกาที่บิดเบี้ยว คือการที่มีการออกระเบียบการเลือกตั้ง ส.ส. แล้วชนะมาทั้งที่กติกาบิดเบี้ยว ส.ว. ก็เช่นกันที่มีกติกาบิดเบี้ยวแต่เราจะทำอย่างไรให้เราเล็ดลอดเข้าไปเป็น ส.ว.เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่ ส.ว. ที่เป็นหน้าที่ที่สำคัญได้

ทั้งนี้ ด้วยกติกาเช่นนี้ เราต้องระวังทุกกระเบียดนิ้ว ประชาชนก็เข้าใจยาก ผู้ที่จะสนับสนุนเลือกตั้ง ส.ว. ก็เข้าใจยากและไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปสนับสนุนหรือตรวจตราการเลือกตั้งได้ หากยิ่งกำชับมากเท่าไหร่ ก็เปรียบเสมือนกับเป็นการบีบลูกโป่ง ระวังลูกโป่งจะแตก

นอกจากนี้ ด้วยกติกาเช่นนี้จะถูกมองว่าเป็นการสกัดกลุ่ม ส.ว.สีส้มหรือไม่นั้น สำหรับตนมองว่าวิธีการเช่นนี้เป็นสิ่งที่เล่าลือกัน แต่จะเป็นจริงหรือไม่ หรือเขาคิดวิธีการเช่นไรนั้น บางครั้งก็ไปอ่านวิธีการในใจของคนไม่ได้ คือวิธีการที่เขาจะปิดทางเพื่อให้ ส.ว.ที่เป็นประชาธิปไตยเล็ดลอดเข้าสภาได้น้อยที่สุด และ ส.ว.ที่เรียกว่ากลุ่มอนุรักษนิยมเข้าสภาได้เยอะนั้น เปรียบว่าเป็นปลาลอดข้อง แม้จะเป็นปลาเล็กที่เล็ดลอดเข้าไป แต่หากปลาตัวไหนที่เล็ดลอดเข้าไปได้จะเป็นปลาที่มีคุณภาพ มีดีเอ็นเอที่เข้มแข็ง แม้จะน้อยตัวแต่ก็มีศักยภาพสูง

อย่างไรก็ตามในกรณีที่อาจจะมีคนใช้ช่องโหว่ในการที่เคยประกอบหลายอาชีพไปลงสมัคร ส.ว. เพื่อเรียกฐานคะแนนเสียงให้กับกลุ่มบ้านใหญ่นั้น ไม่สามารถตอบได้ขอเป็นภารกิจของ กกต. บางครั้งแม้เราอาจจะมองอะไรออก แต่ก็ไม่สนับสนุนวิธีการที่เขาออกกฎระเบียบมา ซึ่งเห็นว่ามีการฟ้องร้องกันที่ศาลปกครองแล้ว แต่จะวินิจฉัยออกมาเช่นไรนั้นต้องติดตามดู การออกระเบียบที่ถี่ยิบ ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนไทย ระเบียบนั้นอาจจะไม่ชอบ แต่ผลจะออกมาอย่างไรในเมื่อทุกอย่างดำเนินการมาแล้ว พูดง่ายๆ ว่าเป็นมรดกบาปที่ก่อความวุ่นวายอยู่ตลอด ไม่รู้จักจบสิ้น แต่ทั้งนี้ยอมรับว่าส่วนตัวกังวลกับกติกาเช่นนี้ แต่จะไม่ท้อแท้และไม่ถดถอยในการที่จะเข้าไปส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

สำหรับความคาดหวังที่มาลงสมัคร ส.ว.ในครั้งนี้คือ ครั้งแรกทุกคนย่อมคาดหวังและมองตัวเองว่าจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น อย่างไร ขณะเดียวกันเราต้องแสดงให้ผู้ที่จะลงคะแนนให้เราเห็นว่าเรามีจุดยืนและเจตนารมณ์อย่างไร เผื่อเขาจะได้เห็นว่าเรามีคุณสมบัติ หรือเมื่อเทียบกับหมอก็เรียกว่าสามารถฝากผีฝากไข้ได้ แต่เป็น ส.ว.ก็น่าจะสามารถฝากเรื่องราวในแง่ของการปฏิบัติหน้าที่ ส.ว.ได้